Biostimulator

Biostimulator คืออะไร

Biostimulator หรือเรียกอีกอย่างว่า Collagen Biostimulator คือ สารกระตุ้นคอลลาเจน เมื่อฉีดเข้าสู่ชั้นผิวหนังแล้วจะเข้าไปกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนเพิ่มขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ เพื่อชดเชยคอลลาเจนที่ลดน้อยลงจากอายุที่เพิ่มขึ้น ทำให้หลังจากฉีดแล้วผิวจะดูแน่นกระชับ อิ่มฟู ยืดหยุ่นดี สุขภาพผิวกลับมาแข็งแรงอีกครั้ง

Biostimulator มีการทำงานอย่างไร

หลักการทำงานของ Biostimulator คือสารเติมเต็มนี้จะประกอบไปด้วยอนุภาคของกรด Poly-L-Lactic (PLLA) ซึ่งผลิตมาจากโมเลกุลของพืชที่ผ่านการหมักทางชีวภาพจนเกิดเป็นสารประกอบในรูปแบบพอลิเมอร์ที่มีลักษณะโครงสร้างเข้ากับผิวหนังมนุษย์

เมื่อฉีดเข้าไปใต้ชั้นผิวจะกระตุ้นคอลลาเจนโดยทำงานร่วมกับเนื้อเยื่อบริเวณใบหน้า กระตุ้นให้เซลล์ต้นกำเนิดในการสร้างเส้นใยคอลลาเจน (fibroblast) สร้างคอลลาเจน อิลาสติน และไฮยารูโรนิค ทำให้เกิดการสะสมรวมตัวกันของเส้นใยคอลลาเจนใหม่ จึงช่วยเสริมโครงสร้างผิวให้แข็งแรงได้ในระยะยาวนั่นเอง

Biostimulator มีกี่ยี่ห้อ

ในปัจจุบัน Biostimulator มีอยู่ด้วยกันหลากหลายยี่ห้อมากครับ แต่ยี่ห้อที่เป็นที่นิยมทั่วโลก ผ่านการรับรองจาก อย. ทั้งในไทย อเมริกา และเกาหลี อีกทั้งยังสามารถช่วยกระตุ้นคอลลาเจนได้มากที่สุด จะมีหลักๆ ด้วยกันอยู่ 2 ยี่ห้อ ดังนี้

  • Sculptra
    Sculptra เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีสาร PLLA (Poly-L-Lactic acid) ซึ่งเป็นสารกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนใหม่ ช่วยฟื้นฟูโครงสร้างผิวจากภายใน ผิวหน้าที่หย่อนคล้อยดูยกกระชับมากขึ้น ใบหน้าแลดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ
  • Radiesse
    Radiesse เป็นสารฉีดกระตุ้นคอลลาเจน ที่มีองค์ประกอบของ CaHA (Calcium Hydroxylapatite) ซึ่งจะเข้าไปกระตุ้นชั้นใต้ผิวหนังให้สร้างคอลลาเจนขึ้นมา เห็นผลลัพธ์คล้ายการฉีดฟิลเลอร์ ผิวหน้ากระชับ ยืดหยุ่นได้ดี รวมถึงใบหน้าจะดูมีมิติมากขึ้นด้วย

Sculptra VS Radiesse เปรียบเทียบการฉีดกระตุ้นคอลลาเจน

Sculptra กับ Radiesse ต่างก็เป็น Biostimulator ชั้นนำที่ปลอดภัยได้มาตรฐาน ให้ผลดีในการกระตุ้นคอลลาเจนและชะลอวัย แต่มีความแตกต่างในแง่ของส่วนประกอบ

โดย Sculptra ทำจาก Poly-L-Lactic Acid จะออกฤทธิ์ผ่านการอักเสบนิดๆ ในระดับเซลล์เพื่อกระตุ้นเซลล์เม็ดเลือดขาว จากนั้นจะส่งสัญญาณให้เซลล์ Fibroblast สร้างคอลลาเจนและอิลาสตินใหม่เพิ่มขึ้นมา ในขณะที่ Radiesse ทำจาก Calcium hydroxyapatite ซึ่งคล้ายกับกระดูกของคนเราตามธรรมชาติ จึงกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนที่เซลล์ Fibroblast โดยตรง

นอกจากนี้ทั้งสองยังต่างกันในเรื่องของระยะเวลาการคงอยู่ของผลลัพธ์ โดย Sculptra จะอยู่ได้นานกว่า 24 เดือน แต่ Radiesse อยู่ได้ประมาณ 12-15 เดือน

เปรียบเทียบ Biostimulator แต่ละประเภท

นอกเหนือจากที่กล่าวไปแล้วข้างต้น Biostimulator ยังมีอยู่อีกหลายประเภท ซึ่งแต่ละประเภทก็จะมีความแตกต่างกันไป ในเรื่องของส่วนประกอบ คุณสมบัติ และการแก้ไขปัญหาผิว

  • Aesthefil มีส่วนประกอบสำคัญ คือ PDLLA (Poly-d,l-lactic acid) และ Carboxymethyl Cellulose (CMC) มีคุณสมบัติละลายน้ำได้ง่าย ฉีดเข้าผิวง่าย กระตุ้นคอลลาเจนได้ไม่มากนัก แต่ผลลัพธ์ที่ได้ผิวหนังจะกระชับและเรียบเนียนสม่ำเสมอมากขึ้น
  • Lenisna มีส่วนประกอบสำคัญ คือ PDLLA (Poly-d,l-lactic acid) และ Hyaluronic acid (HA) มีคุณสมบัติละลายน้ำได้ง่าย ฉีดเข้าผิวง่าย สามารถกระตุ้นคอลลาเจนได้ไม่มาก แต่ HA จะช่วยทำให้ผิวฟูและคงความชุ่มชื้นไว้ในผิวหนัง
  • Juvelook มีส่วนประกอบสำคัญ คือ PDLLA (Poly-d,l-lactic acid) และ Hyaluronic acid (HA) มีคุณสมบัติละลายน้ำได้ง่าย ฉีดเข้าผิวง่าย แต่กระตุ้นคอลลาเจนได้น้อย Juvelook จะมีอนุภาคของ PDLLA อยู่เจือจางมากที่สุด เพื่อให้เหมาะกับการนำมาฉีดในบริเวณที่ผิวบอบบาง เช่น บริเวณรอบดวงตา
  • Sculptra มีส่วนประกอบสำคัญ คือ PLLA (Poly-L-lactic acid) เมื่อฉีดจะกระตุ้นคอลลาเจนได้ยาวนาน แต่ต้องอาศัยเทคนิคที่แม่นยำและชำนาญ

Biostimulator เหมาะกับใคร

การกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนโดยการฉีด Biostimulator เป็นการกระตุ้นใต้ชั้นผิวหนังอย่างเป็นธรรมชาติ และให้ผลในระยะยาว จึงเหมาะมากๆ สำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวดังนี้ครับ

  • ผิวหย่อนคล้อย ไม่กระชับจากอายุที่เพิ่มมากขึ้น
  • มีริ้วรอยแห่งวัย ทำให้หน้าดูมีอายุ
  • มีความเสื่อมสภาพของผิว เป็นผู้ที่อายุตั้งแต่ 25 ปีขึ้นไป ที่ต้องการป้องกันผิวให้คงความอ่อนเยาว์เอาไว้
  • ผู้ที่ต้องการทำหัตถการแล้วให้ผลลัพธ์อยู่ได้ยาวนาน เพราะ Biostimulator ให้ผลยาวนานมากถึง 2 ปี

Biostimulator ไม่เหมาะกับใคร

Biostimulator ฉีดกระตุ้นคอลลาเจนอาจมีข้อจำกัดบางประการ ทำให้ไม่เหมาะกับในบางกรณี หากต้องการฉีดจริงๆ ควรปรึกษาหมอก่อนจะทำการฉีด หรือควรรักษาให้หายดีก่อน โดย Biostimulator จะไม่เหมาะกับกลุ่มคนเหล่านี้

  • ผู้ที่ใช้ยากลุ่ม NSAID ยากดภูมิคุ้มกัน หรือ corticosteroids เป็นระยะเวลานาน
  • มีปัญหาสุขภาพจิต
  • มีโรคทางระบบประสาทสัมผัสในการรับรู้ไม่ดี
  • โรคเบาหวาน โรคแพ้ภูมิตัวเอง โรคเริม โรคลมชัก
  • เคยแพ้สารบางชนิดอย่างรุนแรง รวมถึงเคยแพ้ยาชา
  • มีการอักเสบที่ผิวหนังบริเวณที่ต้องการฉีด
  • กำลังตั้งครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร
  • มีภาวะเลือดออกผิดปกติหรือใช้ยาที่ส่งผลต่อการทำงานของเกล็ดเลือด เช่น ยาละลายลิ่มเลือด ยาต้านการแข็งตัวของเลือด เพราะอาจทำให้เกิดรอยฟกช้ำ ห้อเลือด หรือมีเลือดออกได้
  • ผู้ที่ใจร้อน อยากเห็นผลในทันที เนื่องจาก Collagen Biostimulator คือการกระตุ้นคอลลาเจนตามธรรมชาติ จึงต้องให้เวลาร่างกายในการสร้างสักเล็กน้อย

ข้อดีของการฉีด Biostimulator

นวัตกรรมฉีดกระตุ้นคอลลาเจน Biostimulator มีข้อดีหลายอย่างที่จะช่วยให้สุขภาพผิวของเราแข็งแรงขึ้นครับ ไม่ว่าจะเป็น

  • ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจน type 1 สูงสุดถึง 150%
  • ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจน type 3 สูงสุดถึง 130%
  • ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างเส้นใยอิลาสตินมากขึ้น ทำให้ผิวยืดหยุ่นดี ลดเลือนริ้วรอย
  • กระตุ้นการทำงานของ Proteoglycan ซึ่งจะทำให้ผิวชุ่มชื้น อิ่มน้ำ ไม่แห้งกร้าน
  • กระตุ้นการทำงานของ Angiogenesis ที่ช่วยสร้างเส้นเลือดในการหล่อเลี้ยงผิว ทำให้เลือดสูบฉีดดี สารอาหารต่างๆ สามารถลำเลียงได้อย่างทั่วถึง ทำให้ผิวดูแดงอมชมพู ดูสดใส มีเลือดฝาด

ข้อจำกัดของการฉีด Biostimulator

Biostimulator มีข้อดีต่อผิวมากมาย แต่ก็มีข้อจำกัดบางประการที่ควรคำนึงถึงก่อนที่จะเข้ารับการกระตุ้นคอลลาเจนด้วยวิธีนี้ครับ

  • ห้ามใช้ในผู้ที่แพ้ส่วนประกอบของ Biostimulator เช่น Poly-L-lactic acid (PLLA), Carboxymethylcellulose (CMC) หรือ Non-pyrogenic mannitol
  • ห้ามใช้ในผู้ที่มีโรคประจำตัวภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง (Autoimmune, SLE) หรือ ใช้ยากดภูมิคุ้มกัน
  • ห้ามใช้ในผู้ที่มีประวัติเคยแพ้ Biostimulator ชนิดรุนแรง
  • ห้ามใช้ในกรณีที่เคยฉีดแล้วผิวหนังตำแหน่งบริเวณที่ทำเกิดการอักเสบหรือติดเชื้อ

ฉีด Biostimulator อยู่ได้นานไหม

หลังจากการฉีด Biostimulator จะสามารถเห็นความเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจนช่วง 1-2 เดือนหลังฉีด หากฉีดเพียงครั้งเดียว ผลลัพธ์อาจอยู่ได้แค่ 2-4 เดือนครับ จึงแนะนำให้ฉีดต่อเนื่อง 2-3 ครั้ง ในช่วงแรกๆ เพื่อให้ผิวค่อยๆ ใช้เวลาปรับตัว แล้วผลลัพธ์จะสามารถอยู่ได้นานถึง 2 ปีเลย

การเตรียมตัวก่อนฉีด Biostimulator

การฉีด Biostimulator คล้ายกับการทำหัตถการอื่นๆ ที่ควรมีการเตรียมตัวอย่างถูกวิธีสักหน่อย เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ออกมามีประสิทธิภาพสูงที่สุด โดยมีการเตรียมตัวดังนี้

  • งดทำหัตถการอื่นๆ บนใบหน้า ก่อนมาฉีด 2-4 สัปดาห์
  • งดสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 1-3 วันก่อนฉีด
  • งดทานยาและวิตามินต่างๆ ที่ส่งผลต่อการละลายลิ่มเลือด ทำให้เลือดออกได้ง่าย อย่างน้อย 1 สัปดาห์ ไม่เช่นนั้นอาจจะเกิดรอยช้ำได้
  • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เพื่อประโยชน์ในการให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนใหม่

การดูแลตัวเองหลังฉีด Biostimulator

การเตรียมตัวก่อนฉีดเป็นเรื่องที่สำคัญแล้ว ทว่าการดูแลตัวเองหลังฉีดก็เป็นเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กันเลย หากอยากให้การฉีด Biostimulator เป็นไปได้ด้วยดี ควรดูแลตัวเองดังนี้

  • หลังจากฉีด 12 ชั่วโมงแรก ให้หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอาง รวมถึงครีมบำรุงผิวต่างๆ
  • หากมีก้อนใต้ผิวหนัง สามารถนวดเบาๆ ได้
  • หากมีอาการบวมช้ำ สามารถประคบเย็นเพื่อบรรเทาอาการได้
  • พบแพทย์ตามนัดหมายเพื่อประเมินผลการรักษา